แม้ว่ารถยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าจากแดนอาทิตย์อุทัย จะตีตลาดโลกมาตั้งแต่ยุค 1980s ในช่วงที่อุตสาหกรรมในประเทศของพวกเขาเบ่งบาน แต่สำหรับรองเท้าฟุตบอลนั้นยังห่างไกล เมื่อในช่วงเวลานั้น ผลิตภัณฑ์กีฬาจากญี่ปุ่น แทบไม่เป็นที่รู้จัก และโดนสินค้าจากตะวันตกยึดครองตลาดไปแทบทั้งหมด
อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990s รอยต่อต้นทศวรรษ 2000s ได้มีแบรนด์ญี่ปุ่นที่ชื่อว่า “มิซูโน่” เริ่มสร้างชื่อในวงการรองเท้าสตั๊ดของโลก จากชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า “ริวัลโด้”
เขาทำได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ติดตามเรื่องราวของพวกเขาไปพร้อมกับ Main Stand
เบสบอลเป็นเหตุ
ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่บนโลกเกิดขึ้นมาจากความรักและความหลงใหล มิซูโน่ เองก็อาจจะเป็นหนึ่งในนั้น เมื่อต้นกำเนิดของพวกเขามาจากการที่ ริฮาจิ มิซุโนะ ได้ชมการแข่งขันเบสบอลเป็นครั้งแรก ที่เมืองเกียวโต ก่อนที่จะตกหลุมรักมันเข้าอย่างจัง ความชื่นชอบในกีฬาชนิดนี้ ทำให้เขาและริโสะ น้องชายได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทที่ชื่อ MIZUNO Brothers ที่เมืองโอซากา ในปี 1906 โดยช่วงแรกพวกเขาเริ่มด้วยการขายของเบ็ดเตล็ดที่นำเข้ามาจากตะวันตก แน่นอนว่าต้องมีอุปกรณ์การเล่นเบสบอลรวมอยู่ด้วย จากนั้นพวกเขาก็เริ่มขยายตลาด ด้วยการรับผลิตชุดกีฬาตามสั่ง ก่อนจะเริ่มผลิตอุปกรณ์กีฬาเพื่อวางจำหน่าย เริ่มจากถุงมือและลูกเบสบอลในปี 1913 อุปกรณ์การเล่นสกีในปี 1923 และไม้กอล์ฟในปี 1933 กิจการของพวกเขาเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนสามารถเปลี่ยนจากร้านขายอุปกรณ์กีฬาเป็นผู้ผลิตอย่างเต็มตัวและสามารถสร้างตึกสำนักงานใหญ่ได้สำเร็จในปี 1927 ต่อด้วยการก่อตั้งแผนกวิจัยในปี 12 ปีต่อมา รวมไปถึงเปิดสาขาที่เซี่ยงไฮ้ในปี 1939 อย่างไรก็ดี เส้นทางอันรุ่งโรจน์ของพวกเขาต้องหยุดชะงักลงชั่วคราว ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อรัฐบาลสั่งให้พวกเขาหยุดผลิตอุปกรณ์กีฬา และเปลี่ยนมาผลิตยุทโธปกรณ์ทางทหารแทน แต่มันก็ทำได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น เมื่อหลังสงครามสงบ มิซูโน่ ยังคงไม่ละทิ้งจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา ด้วยการกลับมาผลิตอุปกรณ์การเล่นเบสบอล ทั้งไม้ตีเบสบอล ลูกบอล ถุงมืออีกครั้ง และด้วยคุณภาพของพวกเขาทำให้ในช่วงปี 1970 มิซูโน่ ได้ก้าวขึ้นไปอยู่ในแถวหน้าในวงการกีฬาโลก พวกเขากลายเป็นผู้ผลิตถุงมือเบสบอลให้กับนักกีฬาใน เมเจอร์ เบสบอล ลีกของสหรัฐอเมริกา และเปิดมิซูโน่ สาขาอเมริกา ได้สำเร็จในปี 1982
“ปู่ของผมก่อตั้งบริษัท พ่อเป็นคนเอานวัตกรรมทางเทคโนโลยีเข้ามา และตอนนี้เป็นคราวของผมที่จะขยายมันและทำให้มันก้าวไปสู่ระดับนานาชาติอย่างแท้จริง” มาซาโตะ มิซุโนะ หลานของ ริฮาจิ กล่าวกับ Time ในตอนนั้น หลังจากนั้นในช่วงทศวรรษที่ 1990 มิซูโน่ ก็กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเบสบอลของอเมริกา ก่อนจะขยายตลาดไปที่กีฬาอื่นๆ ทั้ง เทนนิส สกี กรีฑา บาสเกตบอล รักบี้ ปิงปอง มวย และแฮนด์บอล และกลายเป็นหนึ่งในผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาชั้นนำในดินแดนแห่งเสรีภาพ แต่ยังมีกีฬาหนึ่งที่ทำได้เพียงแค่อยู่ใต้ร่มเงาของแบรนด์อื่น นั่นก็คือ “ฟุตบอล”
สตั๊ดของฮิปสเตอร์
มิซูโน่อาจจะประสบความสำเร็จในฐานะผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬาในต่างประเทศ โดยเฉพาะเบสบอล แต่สำหรับฟุตบอล พวกเขาถือว่าเป็นหน้าใหม่ หลังเพิ่งเข้ามาอยู่ในวงการนี้ ไม่ถึง 40 ปี ในขณะที่ Adidas, Mitre, Joma เริ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญในรองเท้าฟุตบอลมาถึง 60-80 ปี พวกเขาเริ่มผลิตสตั๊ดคู่แรกในปี 1985 ที่เป็นรูปทรงมาตรฐาน พร้อมสัญลักษณ์ตัว M ซึ่งเป็นโลโก้เก่าของบริษัทอยู่ด้านข้าง ก่อนจะเปิดตัว Mizuno Morelia ที่เน้นความเบาและยืดหยุ่นในปี 1985 แต่ถึงอย่างนั้น รองเท้าฟุตบอลของพวกเขาก็ค่อนข้างได้รับเสียงตอบรับในแง่ดีในบ้านเกิด เมื่อมันกลายเป็นอาวุธคู่ใจของเหล่านักเตะญี่ปุ่นหรือแข้งต่างชาติบางคนในเจลีกในยุคนั้น ไม่ว่าจะเป็น มุซาชิ มิสุชิมะ กองหน้าชาวญี่ปุ่นที่เคยไปค้าแข้งกับ เซา เปาโล และว่ากันว่าเป็นต้นแบบของ โอโซระ สึบาสะ หรือกาเรกา อดีตแข้งนาโปลี ที่มาเล่นให้กับคาชิวา เรย์โซล ก็ต่างมี โมเรเลีย เป็นรองเท้าประจำกาย
อย่างไรก็ดี สิ่งนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในระดับโลก เมื่อ มิซูโน่ ทำได้เพียงอยู่ภายใต้ร่มเงาของแบรนด์ยักษ์ใหญ่มาตลอด โดยเฉพาะอาดิดาส ที่เป็นผู้นำตลาดมาตั้งแต่ทศวรรษที่ 1970 นอกจากนี้ ด้วยความรูปลักษณ์ภายนอกของรองเท้าสตั๊ดในยุคนั้น ไม่ได้หวือหวาหรือมีสีสันที่แปลกตา และมักมาในสีดำล้วน โดยมีเพียงแค่โลโก้ ด้านข้างไว้แยกความต่างในแต่ละยี่ห้อ ยิ่งทำให้ มิซูโน่ ไม่ค่อยถูกพูดถึงมากนัก เมื่อเทียบกับเจ้าดังอย่าง ไนกี้ พูม่า หรือ อาดิดาส ทำให้แม้พวกเขาจะผลิตรองเท้ารุ่นโมเรเลีย ออกมาวางจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง แต่มันก็เป็นเพียงสตั๊ดสำหรับคนที่ชอบอะไรนอกกระแส และเป็นที่รู้จักในวงแคบๆ เท่านั้น แต่การมาถึงของชายคนหนึ่ง ก็ทำให้ภาพลักษณ์ของพวกเขาเปลี่ยนไปตลอดกาล
รองเท้าของยอดนักเตะ
ในอดีต ฟุตบอลโลก เป็นเพียงทัวร์นาเมนต์สำหรับการแข่งขันกีฬา ทำให้ทุกคนต่างโฟกัสไปที่ผลการแข่งขัน และลีลาการเล่นของนักเตะ มากกว่าตัวตนผู้เล่นในสนาม แต่สิ่งนี้เริ่มเปลี่ยนไปเป็นครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1998 ที่ฝรั่งเศส ดินแดนแห่งแฟชั่น ที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นฟุตบอลโลกครั้งแรก ที่สร้างระบบ “สตาร์” หรือดาวเด่นในสนาม ที่ทำให้นักฟุตบอลกลายเป็น “ไอคอนคนใหม่” เมื่อฟุตบอลโลกในครั้งนั้น ต่างเต็มไปด้วยสีสัน นักเตะหลายคนมาในทรงผมที่แปลกตา ทั้งผมยาวผูกเป็นหางม้า สกินเฮด เดดร็อค หรือแม้กระทั่งถักเปีย และไม่เพียงแต่ทรงผมเท่านั้น รองเท้าสตั๊ด ก็กลายอีกหนึ่งแฟชั่นในสนาม นักเตะหลายคนต่างมาพร้อมกับสตั๊ดที่มีสีสันแปลกตา และกลายเป็นเครื่องแบ่งแยกระหว่างยอดผู้เล่นและนักเตะธรรมดา
มันเป็นทัวร์นาเมนต์ที่พูดได้ว่า รองเท้าของผู้เล่นได้กลายเป็นที่สนใจสำหรับผู้ชม และอยากได้มาครอบครอง ไม่ว่าจะเป็น Joma สีแดง ของ เฟอร์นันโด มอริเอนเตส, Mercurial Vapor ของโรนัลโด, Predator Accelerator (อาดิดาส) ของ ซิเนอดิน ซีดาน และ เดวิด เบคแฮม หรือ King Top (พูม่า) ของมุดตาฟา ฮัดจิ แต่ไม่ใช่สำหรับ ริวัลโด้ เพลย์เมกเกอร์ ทีมชาติบราซิล ที่มาพร้อมกับรองเท้าที่ไม่ค่อยคุ้นหูและคุ้นตาอย่าง “มิซูโน่ โมเลเลีย” เนื่องจากรองเท้าของมิซูโน่ เป็นรองเท้าที่เน้นการใช้งานมากกว่ารูปลักษณ์ ทำให้มันออกแบบมาให้สวมใส่สบายและเน้นความเบา ด้วยการทำมาจากหนังจิงโจ้ และยังคงสไตล์เดิมเหมือนคู่แรกในปี 1985 ทำให้มัน ไม่ได้โดดเด่นเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น
ยิ่งไปกว่านั้น อันที่จริง ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น ริวัลโด ยังใส่รองเท้าของอัมโบร บริษัทผลิตอุปกรณ์กีฬาสัญชาติอังกฤษ และเพิ่งจะเปลี่ยนมาใช้รองเท้าจากญี่ปุ่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย แต่แค่เพียงเกมแรกกับรองเท้าคู่ใหม่ ริวัลโด้ ก็แผลงฤทธิ์ ด้วยการยิงสองประตูช่วยให้บราซิล เอาชนะเดนมาร์กอย่างสุดมัน 3-2 โดยทั้งสองประตูล้วนสวยงาม ไม่ว่าจะเป็นการยกบอลข้ามตัวผ่านยอดผู้รักษาประตูอย่างปีเตอร์ ชไมเคิล เข้าไปอย่างหมดจด หรือลูกซัดไกลกว่า 20 เมตร ที่กลายเป็นประตูชัยในเกมนั้น และมันก็ทำให้แนวคิด “เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ” ของมิซูโน่ เริ่มเป็นที่ยอมรับในวงการฟุตบอล เมื่อสตั๊ดที่มีรูปลักษณ์ไม่ได้โดดเด่นนี้ ถูกพูดถึงมากขึ้น ในฐานะรองเท้าของริวัลโด้ แต่นั่นก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น
ต่อยอดสู่ตำนาน
ผลงานที่ยอดเยี่ยมของริวัลโด้ ในฟุตบอลโลก 1998 (แม้ว่าบราซิลจะทำได้เพียงแค่รองแชมป์โลก) ทำให้มิซูโน่ เริ่มมีหน้ามีตาในวงการฟุตบอลระดับโลก และเริ่มได้รับความสนใจมากขึ้นในหมู่นักฟุตบอล รวมไปถึงแฟนบอล แต่มิซูโน่ไม่ได้หยุดเพียงเท่านั้น พวกเขาต่อยอดด้วยการพัฒนารองเท้าคู่ใหม่ให้กับริวัลโด้ ในชื่อ "Wave Cup” ที่ถูกปล่อยออกมาในเดือนพฤศจิกายน ปี 2001 ก่อนการแข่งขันฟุตบอลโลกที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพไม่ถึงปี Wave Cup ออกแบบโดยใช้ริวัลโด้ เป็นต้นแบบ ทำให้มันมาพร้อมกับพื้นสีขาว โดยมีโลโก้และลิ้นเป็นสีน้ำเงินและสีเหลือง ซึ่งมีที่มาจากธงของทีมชาติบราซิล แต่ยังคงเน้นความเบาและการสวมใส่สบายเหมือนรุ่นก่อน ก่อนที่ริวัลโด้ จะสวม Wave Cup ตั้งแต่เกมแรกที่ลงสนาม และทำผลงานได่อย่างสุดยอดในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ด้วยการทำไป 5 ประตูกับอีก 3 แอสซิสต์ พาบราซิลคว้าแชมป์โลกสมัยที่ 5 ได้สำเร็จ
แถมหนึ่งประตูที่ทำได้คือการจับบอลอย่างนุ่มนวลก่อนซัดด้วยซ้ายเข้าไปอย่างสวยงาม ในเกมเอาชนะ เบลเยี่ยม 2-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย ที่ช่วยตอกย้ำประสิทธิภาพที่มาก่อนรูปลักษณ์ของมิซูโน่ ได้เป็นอย่างดี ทำให้หลังฟุตบอลโลก รองเท้าของมิซูโน่ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าการได้แชมป์โลกของริวัลโด้ ได้ปลุกกระแสความนิยมในรองเท้ารุ่นนี้เป็นอย่างมาก ที่ทำให้หลายคนต่างพยายามหามาครอบครอง ซึ่ง มิซูโน่ ก็ไม่รอช้า พวกเขาได้ผลิต Wave Cup ที่เปลี่ยนแปลงดีไซน์เล็กน้อยออกมาวางจำหน่าย หลังเวิลด์คัพฉบับเอเชีย โดยปักธงบราซิลลงไปที่ส้นเท้า เพื่อเป็นการฉลองแชมป์โลกให้กับ ริวัลโด้ และแน่นอนว่ามันขายดีแบบเทน้ำ ก่อนที่มันจะทำให้ มิซูโน่ กลายเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยมในวงการรองเท้าฟุตบอลของโลกนับตั้งแต่นั้น และทำให้ Wave Cup กลายเป็นรองเท้าระดับตำนาน จนถูกนำมารีเมกขายใหม่อีกครั้งในปี 2018 อย่างไรก็ดี พวกเขาเกือบจะไม่ได้มาถึงจุดนี้ เพราะริวัลโด้ เช่นกัน
รองเท้าที่เกือบเป็นหมัน
ย้อนกลับไปในปี 1998 หลังมิซูโน่ และริวัลโด้ ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในการโชว์ตัวในทัวร์นาเมนต์ที่ฝรั่งเศส มิซูโน่ อยากจะผลิตรองเท้ารุ่นใหม่ให้ดาวเตะชาวบราซิล อย่างไรก็ดี ริวัลโด้ กลับปฏิเสธแนวคิดนี้ เพราะเขาค่อนข้างถูกใจโมเลเรีย รุ่นที่มิซูโน่ ผลิตให้อยู่แล้ว และสวมใส่มาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1998 อยู่แล้ว จึงรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องมีรองเท้าคู่ใหม่
“ผมแฮปปีกับโมเรเลีย ผมจึงไม่ได้สนใจ เพราะว่าผมไม่ได้ต้องการมัน” ริวัลโด้บอกกับทาเคชิ โอเรอิ หนึ่งในทีมพัฒนาในตอนนั้น แม้ว่าในตอนแรกทางทีมพัฒนา จะพยายามโน้มน้าวว่าเขาอาจจะทำผลงานได้ดีขึ้น จากรองเท้าคู่ใหม่ที่กำลังพัฒนา แต่ริวัลโด้ดูจะไม่สนใจมากนัก ทว่าท่าทีของเขาเปลี่ยนไป หลังเห็นรอยเท้าของไอร์ตัน เซนนา นักขับรถสูตรหนึ่งในตำนานของบราซิล ที่ห้องวัดเท้า เขาถามว่า เซนนามาที่นี่หรือเปล่า และเมื่อได้รับคำตอบว่าไม่ได้เชิญเขามา ริวัลโด้ จึงยอมให้ทีมพัฒนาผลิตรองเท้าให้ เนื่องจากเขารู้สึกว่าเขาเก่งกว่าตำนานของประเทศ และเมื่อรองเท้าเสร็จสิ้นดูเหมือนว่าริวัลโด้จะประทับใจรองเท้าคู่นี้มาก เขาใส่มันลงเล่นในเกมอย่างเป็นทางการในศึกลาลีกาทันที ทั้งที่ทีมผู้ผลิตบอกว่าไม่จำเป็น เพราะยังเป็นรุ่นไม่เสร็จสมบูรณ์
“ผมใช้รองเท้าตัวทดสอบในการแข่งขันอย่างเป็นทางการทันที ทั้งที่ยังไม่เคยสวมลงเล่นในเกมไหนมาก่อน” ริวัลโดกล่าว
“ผมรู้สึกประหลาดใจจริงๆ เมื่อเขาใส่มันในเกมที่เราบอกว่าอย่าเพิ่งใส่ แต่ผมก็มีความสุขจริงๆที่เขาชอบมัน” โอเรอิกล่าวเสริมกับ Sport Japanese
ก่อนที่หลังจากนั้น มันจะถูกแก้ไขให้เบาขึ้นตามคำขอของริวัลโด้ และกลายเป็นรองเท้าที่ทำให้เขาสร้างผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฟุตบอลโลก และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มิซูโน่ โด่งดังในวงการนี้ หลังจากนั้น มิซูโน่ ก็กระโจนเข้าสู่วงการตลาดโลกอย่างเต็มตัว และเริ่มเป็นรองเท้ายอดนิยมในหมู่แข้งดัง และมีพรีเซ็นเตอร์เป็นนักฟุตบอลระดับโลก ทั้งชาวญี่ปุ่นและต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็น ชุนซุเกะ นาคามูระ เพลย์เมกเกอร์ทีมชาติญี่ปุ่น, ฮัลค์ ดาวเตะทีมชาติบราซิล, พาโบล ไอมาร์ ดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์, อังเดร เชฟเชนโก้ ยอดแข้งยูเครน หรือแม้แต่ เฟอร์นันโด ตอร์เรส ที่ใส่มิซูโน่ ตอนเล่นในเจลีกกับ ซางัน โทซุ นอกจากนี้ แม้แต่นักเตะบางคนที่ไม่ได้มีสัญญากับสปอนเซอร์ ก็ยังเลือกรองเท้าของมิซูโน่มาใช้จากความสบายของมัน ตัวอย่างที่ชัดเจน คือ ติอาโก มอตตา อดีตดาวเตะเชื้อสายบราซิลของปารีส แซงต์ แชรกแมงต์ ทีมดังแห่งฝรั่งเศส ที่เลือกใช้ Morelia II ในฤดูกาล 2015/2016 สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณภาพที่ยอดเยี่ยมของพวกเขา ที่เน้นการใช้งานมากกว่ารูปลักษณ์ ซึ่งเป็นแนวคิดตั้งแต่เริ่มต้น และยังคงเป็นเช่นนี้มาจนถึงปัจจุบัน และจากนี้ไปในอนาคต
ติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวแวดวงกีฬา เทรนใหม่ๆ ได้ที่ tri-csoccer.com
|