อังกฤษ ทำได้แค่บุกเสมอ เดนมาร์ก 0-0 ในศึกฟุตบอลยูฟ่า เนชั่นส์ ลีก (ลีก เอ กลุ่ม 2) เมื่อวันอังคารที่ 8 กันยายนที่ผ่านมา โดยแมตช์นี้ แกเร็ธ เซาธ์เกต ผู้จัดการทีม ทัพ "สิงโตคำราม" ส่งผู้เล่นหน้าใหม่ลงสนามเปิดตัวในนามทีมชาติถึง 4 รายเลยทีเดียว
เกมนี้ต้องยอมรับว่าเจ้าบ้านสร้างโอกาสหวาดเสียวได้หลายครั้ง ในขณะที่เกมรุกของ "ทรีไลอ้อนส์" ค่อนข้างจะฝืดเคือง แถมไม่สามารถสร้างสรรค์เกมได้มากนัก ส่งผลให้จบแมตช์แบ่งแต้มกันไป โดย อังกฤษ มีเพิ่มเป็น 4 คะแนน ยึดรองจ่าฝูงของกลุ่ม ขณะที่ เดนมาร์ก เพิ่งจะเก็บแต้มแรกได้
1. การเลือกทีมและวางแท็กติคของ เซาธ์เกต
บรรดาแฟนบอลทีมชาติอังกฤษ คงงงมากๆ กับ 11 ตัวจริงของ เซาธ์เกต ในเกมบุกดินแดนโคนม โดยเฉพาะการปรับแผนจากที่เคยเล่นระบบ 4-3-3 มาเป็น 3-4-3 ซึ่งแน่นอนว่าการปรับหมากแบบนี้ทีมก็ไม่ได้เสียหายมากนัก และอาจจะพูดแบบเป็นกลางได้ว่านี่คือ "แผน บี" ที่จะนำมาใช้กับอังกฤษ
การใช้ เดแคลน ไรซ์ ยืนคู่กับ คาลวิน ฟิลลิปส์ ในแดนกลางดูเหมือนจะดีในช่วงแรกๆ อย่างไรก็ตามแผนนี้มีช่องโหว่ตรงที่ อังกฤษ ไม่มีผู้เล่นซ้ายธรรมชาติ เพราะ คีแรน ทริปเปียร์ เป็นนักเตะที่ถนัดเท้าขวา และการจับเขามาอยู่เป็นแบ็กซ้าย หรือวิงแบ็กซ้าย เป็นการลดทอนประสิทธิภาพของนักเตะ
ฉะนั้นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่ อังกฤษ ไม่สามารถสร้างสรรค์โอกาาสในการยิงประตูได้เลยในครึ่งแรก และในครึ่งหลังก็ไม่แตกต่างกัน แต่ทุกๆ อย่างค่อยๆ เริ่มดีขึ้นเมื่อ เซาธ์เกต ตัดสินใจส่ง เมสัน เมาท์ กับ แจ็ค กรีลิช ลงสนามเพื่อมาช่วยปั้นเกมแดนกลาง
ผลงานในแมตช์นี้น่าจะเป็นการบ้านครั้งสำคัญสำหรับ เซาธ์เกต ที่จะต้องกลับไปตีโจทย์ให้แตกเพื่อที่จะได้วางแท็กติคที่เหมาะสมกับขุมกำลังที่มีอยู่ เพราะหากยังทู่ซี้เล่นแบบนี้ต่อไป มีหวังผลงานของทัพ "สิงโตคำราม" อาจจะค่อยๆ สาละวันเตี้ยลงแหงๆ
2. คอเนอร์ เคาดี้ โดดเด่นแม้จะเพิ่งเปิดตัวกับ อังกฤษ
กัปตันทีมวูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส แสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำในสนามโดยเขามักจะคอยช่วยตะโกนสั่งเพื่อนร่วมทีม ซึ่งนี่คือธรรมชาติของการเป็นผู้นำ ในฐานะเซนเตอร์ฮาล์ฟนักเตะยังช่วยจัดระบบเกมรับของทัพ "สิงโตคำราม" ให้เหนียวแน่นด้วย
นอกจากนี้ เคาตี้ ยังแสดงให้เห็นถึงทักษะการเล่นที่ยอดเยี่ยมทั้งการวางบอลยาวไปทางริมเส้น และการเข้าเสียบสกัดที่แม่นยำ รวมไปถึงคอยไล่ประกบผู้เล่นเกมรุกของ เดนมาร์ก จนเล่นไม่ออก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ อังกฤษ สามารถเก็บคลีนชีตได้สำเร็จ
ฉะนั้นต้องยอมรับว่า ดาวเตะวัย 27 ปีเปรียบเสมือนหัวใจในเกมรับของทัพ "ทรี ไลอ้อนส์" เพราะนอกจากจะมีความแข็งแกร่งในการป้องกันแล้ว ยังมีความยอดเยี่ยมในการช่วยเล่นเกมรุก ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้รับคำชื่นชมว่าเป็นนักเตะที่ทำผลงานดีที่สุดของ อังกฤษ ในแมตช์นี้
แม้ว่า เคาดี้ จะเป็นนักเตะวูล์ฟส์ คนแรกที่ได้ลงเล่นตัวจริงให้กับทีมชาติอังกฤษ นับตั้งแต่ที่ สตีฟ บูลล์ เคยทำเอาไว้ในปี 1990 แต่ผลงานของเขาทำให้สาวก "สิงโตสามตัว" ชื่นชมมากๆ และอาจจะมีลุ้นได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่องในอนาคตก็ได้
3. เกมขาดเสน่ห์ เล่นแบบไม่มีจุดหมาย
ต้องยอมรับเลยว่าเกมบุกของ อังกฤษ ในแมตช์นี้น่าผิดหวังอย่างมากเพราะทั้ง เจดอน ซานโช่ , แฮร์รี่ เคน และ ราฮีม สเตอร์ลิง เล่นไม่เข้าขากันเลย จนบางครั้งดูเหมือนเกะกะขวางทางกันเองด้วยซ้ำ ที่สำคัญแมตช์นี้แนวรุกของ อังกฤษ ไร้ประสิทธิภาพเพราะพวกเขามีโอกาสยิงเข้าเป้าแค่ 2 ครั้งเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่ลงเล่นแบบปิดสนามในเกมพบ โครเอเชีย เมื่อเดือนตุลาคม 2018 ( 2 ครั้ง)
ในขณะที่แดนกลางดูเหมือนว่า คาลวิน ฟิลลิปส์ ที่ลงเล่นเปิดตัวให้ทีมชาติอังกฤษ ทำผลงานได้น่าผิดหวังเมื่อไม่สามารถครองบอลได้ และยังมักจะเสียบอลบ่อยๆ ทำให้ทีมพลาดโอกาสในการเล่นเกมบุก แต่ส่วนดีก็พอมีอยู่บ้างในเรื่องการผ่านบอล และการตัดบอลจากคู่แข่ง กระนั้นเมื่อมองจากภาพรวมแล้ว มิดฟิลด์จากลีดส์ ยูไนเต็ด ยังคงต้องพัฒนาฝีเท้าให้มากกว่านี้
สำหรับ ซานโช่ ต้องบอกเลยว่าตลอดช่วงระยะเวลา 60 นาทีที่เขาอยู่ในสนามผลงานน่าผิดหวังมากๆ แทบไม่มีส่วนอะไรกับเกมนี้ ขณะที่ เคน มีโอกาส 2-3 ครั้งแต่ขาดความเฉียบคมไปพอสมควร ในส่วนของ สเตอร์ลิง อาจจะมีจังหวะหวือหวาและมักจะป่วนแนวรับของ เดนมาร์ก ได้บ้าง แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่เฉียบคม
4. คริสเตียน เอริคเซ่น โชว์ผลงานชั้นยอด
หลายคนอาจจะมองว่า คริสเตียน เอริคเซ่น ทำผลงานได้น่าผิดหวังกับ อินเตอร์ มิลาน แต่สำหรับการเล่นให้ เดนมาร์ก เขายังคงเป็นผู้เล่นกำลังสำคัญของทีม และในแมตช์รับมืออังกฤษ นักเตะแสดงให้เห็นแล้วว่าศักยภาพของเขายังสามารถช่วยทีมได้เสมอ
จอมทัพวัย 28 ปี พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าประสบการณ์ในการเล่นในลีกระดับสูงมีความสำคัญมากแค่ไหน โดยในแมตช์นี้เขามีโอกาสได้สร้างสรรค์เกมในแดนกลางให้กับทัพ "โคนม" และมีหลายครั้งที่โชว์ทักษะได้เหนือกว่าแผงมิดฟิลด์ "สิงโตคำราม" ด้วยซ้ำ
นอกจากนี้ อดีตสตาร์ "ไก่เดือยทอง" ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ยังมีโอกาสได้ยิงประตูถึง 3 ครั้งในแมตช์นี้มากกว่าผู้เล่นคนอื่นๆของ เดนมาร์ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสทองในช่วงครึ่งหลังที่เกือบช่วยให้ชาติบ้านเกิดคว้า 3 คะแนนสำคัญในแมตช์นี้
5. เกร็ดน่าสนใจ
- อังกฤษ เสมอแบบไร้สกอร์ 6 เกมจาก 43 แมตช์ภายใต้การคุมทัพของ แกเร็ธ เซาธ์เกต เทียบเท่ากับในยุค รอย ฮ็อดจ์สัน ซึ่งคุมทีม 56 เกม โดยผู้จัดการทีมคนสุดท้ายที่นำทีมเสมอ 0-0 ก็คือ บ็อบบี้ ร็อบสัน
- อังกฤษ มีโอกาสยิงเข้าเป้าแค่ 2 ครั้ง ถือว่าน้อยที่สุดนับตั้งแต่ที่ทีมต้องลงเล่นแบบปิดสนามเกมพบ โครเอเชีย เมื่อเดือนตุลาคม 2018 (2 ครั้ง)
- อังกฤษ ไม่เสียประตูในเกมแบบมีความหมาย 5 นัดติดต่อกันเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ที่เคยถูกหยุดสถิติแบบนี้เมื่อปี 2017
- เดนมาร์ก ไม่เสียประตู 6 เกมจาก 8 แมตช์หลังสุดในทุกรายการ
เพิ่มเติม : dbesoftware.com
|